ผุดทางเลี่ยงเมือง “อยุธยา” ด้านใต้ 9 กม. แก้รถติด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ที่หอประชุมสนามกีฬากลางองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา นางสรัลพัชร ประโมทะกะ รอง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนา ครั้งที่ 1 (ปฐมนิเทศโครงการ) โครงการจ้างวิศวกรที่ปรึกษาสำรวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจรบนทางหลวงหมายเลข 356 (ทางเลี่ยงเมืองอยุธยาด้านใต้) ของกรมทางหลวง (ทล.) เพื่อนำเสนอข้อมูลรายละเอียดโครงการ วัตถุประสงค์ ขอบเขตการศึกษา และแนวคิดการพัฒนาโครงการ และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการพัฒนาโครงการ พร้อมรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน เข้าร่วมการประชุม

ปัจจุบันปัญหาการจราจรในเขต จ.พระนครศรีอยุธยา มีความหนาแน่นมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจราจรบริเวณถนนเลี่ยงเมืองอยุธยา เนื่องจากจำนวนช่องจราจรไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ใช้เส้นทาง อีกทั้งการพัฒนาของพื้นที่โดยรอบเป็นย่านอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม ทำให้ยานพาหนะขนาดใหญ่ที่เดินทางระหว่างอำเภอใช้เส้นทางเหล่านี้ จึงเกิดปัญหาความแออัดขึ้นในการสัญจรบริเวณถนนเลี่ยงเมืองอยุธยาคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ดังนั้น ทล.จึงได้ดำเนินการว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ประกอบด้วย บริษัท ซีวิลดีไซน์แอนด์คอนซัลแต้นท์ จำกัด บริษัท ธาราไลน์ จำกัด และบริษัท ลูเซ่ ครีเอชั่น จำกัด ดำเนินการศึกษาโครงการดังกล่าว เพื่อแก้ปัญหาความแออัดในการสัญจรบริเวณถนนเลี่ยงเมืองอยุธยา และอำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ผู้สัญจร ให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพื่อสำรวจและออกแบบรายละเอียด ตลอดจนจัดเตรียมเอกสารข้อมูลประกอบการประกวดราคาและประเมินราคา ศึกษาและจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ตลอดจนดำเนินการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย โดยมีระยะเวลาการศึกษาทั้งหมด 450 วันคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

สำหรับแนวเส้นทางโครงการมีจุดเริ่มต้นโครงการอยู่ที่ทางหลวงหมายเลข 356 กม.0+000 และมีจุดสิ้นสุดโครงการที่ทางหลวงหมายเลข 356 กม.9+401 รวมระยะทางประมาณ 9.401 กม. โดยพื้นที่ศึกษาโครงการครอบคลุมระยะ 500 เมตร จากกึ่งกลางแนวเส้นทางโครงการต้องอยู่ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา จำนวน 2 อำเภอ 7 ตำบล ได้แก่ อ.เมืองพระนครศรีอยุธยา ประกอบด้วย ต.ปากกราน ต.บ้านรุน ต.เกาะเรียน และ อ.บางปะอิน ประกอบด้วย ต.บางประแดง ต.ขนอนหลวง ต.บ้านกรด และ ต.คุ้งลาน

ส่วนแนวคิดในการออกแบบทางเลี่ยงเมืองอยุธยาด้านใต้ เบื้องต้นที่ปรึกษาเสนอให้มีการขยายช่องจราจรจาก 2 ช่องจราจร เป็น 4 ช่องจราจร หรือมากกว่า (ไป-กลับ) ภายในเขตทางเดิม 60 เมตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจราจรและลดอุบัติเหตุ โดยคำนึงถึงความปลอดภัย ลดผลกระทบต่อชุมชน และสภาพแวดล้อมในแนวสายทาง และเน้นให้ดำเนินงานโครงการเกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและประชาชนในพื้นที่น้อยที่สุด หลังจากประชุมครั้งนี้จะรวบรวมข้อมูลความคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนนำมาพิจารณาประกอบการศึกษากำหนดแนวทางเลือกอย่างน้อย 3 ทางเลือกในการพัฒนาโครงการที่มีความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งดำเนินการจัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อประชาสัมพันธ์รายละเอียดข้อมูลโครงการไปสู่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่โครงการได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง

มิชลินไกด์ บุกอีสาน เลือก 4 จังหวัดใหม่บรรจุในคู่มือฉบับ6

นายเกว็นดัล ปูลเล็นเนค ผู้อำนวยการฝ่ายจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ทั่วโลก เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มีการจัดทำมิชลิน ไกด์หรือคู่มือการจัดอันดับร้านอาหารที่มีคุณภาพ ประจำปี 2566 ซึ่งเป็นฉบับที่ 6 ของไทยและมีกำหนดเผยแพร่ปลายปี 2565 นี้ โดยเลือกจังหวัดนครราชสีมา, อุบลราชธานี, อุดรธานี และ ขอนแก่น เป็น 4 เมืองตัวแทนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าไปในคู่มือฉบับนี้ด้วย เพราะเห็นว่า 4 จังหวัดดังกล่าว ได้สะท้อนถึงอัตลักษณ์อาหารอีสานที่โดดเด่นและมีรสชาติจัดจ้าน ตลอดจนแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่หลากหลายคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ทั้งนี้ ผู้ตรวจสอบของมิชลินประทับใจในอาหารอีสานที่มีอัตลักษณ์โดดเด่นและรสชาติจัดจ้าน ซึ่งแม้จะใช้วิธีการประกอบอาหารที่เรียบง่าย ไม่ว่าจะเป็นการต้ม, ย่าง, นึ่ง หรือตุ๋นด้วยไฟอ่อน แต่กลับให้รสชาติที่ลึกซึ้งและซับซ้อน ทั้งยังมีเทคนิคการถนอมอาหารที่ถือเป็นจุดเด่นของอาหารอีสานและแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาพื้นบ้านในการหมักดองปลาและผักตามฤดูกาลให้สามารถเก็บไว้ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารได้นานขึ้น โดยมีเครื่องปรุงรสพื้นฐานในครัวอีสานอย่าง “ปลาร้า” ที่ทำจากการนำปลาในท้องถิ่นมาหมักกับเกลือและข้าว เป็นวัตถุดิบยอดนิยมที่ใช้ใส่ในอาหารและน้ำจิ้มต่าง ๆ แทบทุกจาน ทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติมาตั้งแต่ปี 2555คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

นอกจากอาหารที่โดดเด่นและมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจแล้วปัจจุบันยังมีเชฟชาวอีสานจำนวนมากที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านอาหารจากร้านอาหารชื่อดังในต่างประเทศกลับมาเปิดร้านอาหารของตนเองที่บ้านเกิดเชฟเหล่านี้ไม่เพียงมีบทบาทสำคัญในการยกระดับอาหารอีสานโดยเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นมาปรุงอย่างพิถีพิถันด้วยทักษะที่ตนเองสั่งสมมานานแต่ยังช่วยกำหนดมาตรฐานใหม่ให้อาหารท้องถิ่นมีคุณภาพสูงมากขึ้นถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยจะกลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวที่ต้องการลิ้มรสอาหารพื้นบ้านซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจชุมชนและธุรกิจร้านอาหารภายในท้องถิ่น

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ประเทศไทยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน ททท. ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยบนเวทีโลกในฐานะแหล่งท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรมอาหาร โดยจำนวนร้านอาหารในคู่มือฯ ที่เพิ่มขึ้นทุกปีซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรุกดำเนินการสำรวจพื้นที่ใหม่ในภูมิภาคต่าง ๆ ของไทยเพื่อค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุด และส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่บรรดาร้านอาหารต่างพยายามพัฒนาคุณภาพและบริการเพื่อให้ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ของ ‘มิชลิน ไกด์’… ยังช่วยให้เกิดการรับรู้และสร้างกระแสการท่องเที่ยวเชิงอาหารให้กับทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในวงกว้างมากขึ้น

 เมื่อเปรียบเทียบคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ประเทศไทย ฉบับปฐมฤกษ์ ปี 2561 กับคู่มือฉบับล่าสุด ปี 2565 พบว่าจำนวนร้านอาหารทั้งหมดในเล่มเพิ่มขึ้นจาก 126 ร้าน เป็น 361 ร้าน ในจำนวนนี้เป็นร้านที่ได้รับดาวมิชลินเพิ่มขึ้นจาก 17 ร้านเป็น 32 ร้าน และร้านที่ได้รับรางวัล ‘บิบ กูร์มองด์’ จาก 35 ร้าน เป็น 133 ร้าน ขณะที่ขอบเขตพื้นที่ในการเข้าไปดำเนินการคัดสรรและจัดอันดับร้านอาหารในแต่ละปีก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากที่คู่มือฉบับปี 2561 ครอบคลุมเฉพาะเขต“กรุงเทพมหานคร” จนล่าสุดคู่มือฉบับปี 2565 ครอบคลุมถึง 5 จังหวัด ได้แก่ “กรุงเทพมหานคร พระนครศรีอยุธยา เชียงใหม่ ภูเก็ต และพังงา”

“ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีศักยภาพสูง ทั้งในแง่วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ด้านอาหารสถานที่ท่องเที่ยวในท้องถิ่น ตลอดจนเสน่ห์ของวิถีชาวบ้าน นอกจากการเดินทางตามรอยร้านอร่อยในภาคอีสานที่คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ คัดสรรมาให้แล้ว นักเดินทางทุกวัยยังสามารถเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวหลากรูปแบบ อาทิ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดนครราชสีมา และได้รับเลือกเป็นหนึ่งในมรดกโลกทางธรรมชาติโดยองค์การยูเนสโกอุทยานแห่งชาติผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานีแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี และพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียงจังหวัดขอนแก่น นอกจากนี้ภาคอีสานยังมีสินค้าประเภทอาหารและหัตถกรรมที่โด่งดังมากมายสำหรับเลือกซื้อเป็นของขวัญของฝาก จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์มากถึง 34 รายการ ผมเชื่อว่าคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ประจำปี 2566 ที่มีกำหนดเผยแพร่ปลายปีนี้ จะทำให้ผู้คนทั่วโลกได้รับรู้ถึงบรรยากาศที่โดดเด่นของแวดวงอาหารในภาคอีสาน และมีส่วนช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้”

ผลออกแล้ว ปม ‘คานสะพานหล่น’ เจ้าหน้าที่ประมาท! ลุยสอบวินัยลงโทษ

เมื่อวันที่ 18 ส.ค. ที่กระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้ประชุมติดตามความคืบหน้าการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเกิดอุบัติเหตุคานสะพานกลับรถร่วงหล่นบนทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) ตอน สะพานข้ามแม่น้ำท่าจีน-นาโคก ที่ กม.34+000 บริเวณสะพานกลับใกล้โรงพยาบาลวิภาราม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร โดยคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อสืบหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งมีนายเอนก ศิริพานิชกร เป็นประธาน ได้รายงานว่า มีการลงพื้นที่เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม อาทิ การตรวจสอบแบบ Visual Inspection การตรวจสอบความสมบูรณ์แข็งแรงของโครงสร้างสะพานส่วนที่เหลือ หลังจากที่ยกคานลงแล้ว ด้วยวิธี 3D Scannerคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

นายพิศักดิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ได้ตรวจสอบขนาดของเสา และปริมาณเหล็กโดย Ferro Scan และ Rebound Hammer ซึ่งได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า โครงสร้างคานสะพาน และระบบพื้นบนคานสะพานช่วงระหว่างเสา ยังมีความมั่นคงแข็งแรง และไม่มีแนวโน้มว่าจะเกิดการวิบัติ หรือเสียเสถียรภาพ ซึ่งจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้สัญจรไปมาในขณะนี้ และจะสร้างความมั่นใจในการใช้สะพานกลับรถ ด้วยการทดสอบการรับน้ำหนักบรรทุกของสะพานที่บูรณะแล้วเสร็จต่อไป

นายพิศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนความคืบหน้าของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงชุดที่กรมทางหลวง (ทล.) ตั้งขึ้น ซึ่งมีนายนรินทร์ ศรีสมพันธุ์ วิศวกรใหญ่ด้านควบคุมการก่อสร้าง เป็นประธานนั้น ได้รับรายงานว่า มีการจัดประชุม และลงพื้นที่ตรวจสอบรายละเอียดที่เกิดขึ้นแล้ว โดยได้เรียกผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการซ่อมแซมปรับปรุงสะพานกลับรถดังกล่าวมาให้ข้อมูล ขั้นตอนการทำงาน การควบคุมงานก่อสร้าง พร้อมรวบรวมเอกสาร และพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อพิจารณาหาข้อสรุปสาเหตุของการเกิดเหตุที่แน่ชัด โดยหลังจากนี้ ทลคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง. จะหารือร่วมกับวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) และสภาวิศวกร เพื่อหาแนวทางในการดำเนินงานบูรณะสะพานกลับรถตัวนี้ เพื่อลดผลกระทบด้านการจราจร และเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนผู้ใช้ทางต่อไป

นายพิศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ทล. ยังได้รายงานผลการเยียวยาผู้ประสบเหตุ และครอบครัวผู้เสียชีวิต รวมถึงการดำเนินการชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ที่ประสบเหตุทั้งหมด และหลังจากได้ข้อสรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริง พร้อมเอกสารหลักฐานทั้งหมดจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกระทรวงคมนาคม และ ทล.แล้ว จะรายงานต่อ รมว.คมนาคม ให้ทราบโดยเร็ว คาดว่าไม่เกินวันที่ 25 ส.ค.65 ซึ่งเบื้องต้นพบว่าเป็นความผิดพลาดในการปฏิบัติงานของ ทล. และเกิดจากความประมาทของเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะได้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัย เพื่อลงโทษต่อไป ขอยืนยันว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะดำเนินการด้วยความโปร่งใส ไม่มีการแทรกแซงใดๆ.

สบพ. ผนึก ทอท. พัฒนาบุคลากรด้านการบิน 3 หลักสูตร

น.ส.ภัคณัฏฐ์  มากช่วย ผู้ว่าการสถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) เปิดเผยว่า สบพ. จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรทางด้านการบินกับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. มีนายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ร่วมลงนาม โดยเป็นการลงนามในบันทึกข้อตกลงแก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 3 ต่อท้ายบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรทางด้านการบิน ตามนโยบายรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม ในการมุ่งสร้างความร่วมมือเชิงบูรณาการ เพื่อนำเทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญของแต่ละหน่วยงานมาสร้างให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อสนับสนุนและเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างเสริมศักยภาพของประเทศ สู่การเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคมาสู่การปฏิบัติ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม 

น.ส.ภัคณัฏฐ์กล่าวต่อว่าสบพ.กับทอท.ได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรทางด้านการบินมาดำเนินงานตั้งแต่ปี56-64โดยได้ดำเนินงานร่วมกันเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีผลการประเมินจากผู้เข้ารับการฝึกอบรมต่อหลักสูตรของสถาบันการบินพลเรือนอยู่ในระดับดีมากและได้หารือแนวทางความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรด้านการบินเมื่อวันที่4เม.ย.65ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันในการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่องในระยะที่4นับตั้งแต่ปีงบประมาณ65เป็นต้นไปคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

อย่างไรก็ตามสบพ.ได้สร้างความเชื่อมั่นและได้รับการยอมรับในศักยภาพในการผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านการบินในฐานะเป็นศูนย์กลางแห่งความเป็นเลิศด้านวิชาชีพในอุตสาหกรรมการบินของประเทศและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงมีความพร้อมในการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรการฝึกอบรมบุคลากรด้านการบินให้ตรงกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของทอท.และเป็นไปตามมาตรฐานสากลนับเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการใช้ทรัพยากรและความร่วมมือระหว่างกันของรัฐวิสาหกิจคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

น.ส.ภัคณัฏฐ์กล่าวอีกว่าการลงนามครั้งนี้เพื่อร่วมกันพัฒนาบุคลากรทางด้านการบินในสาขาที่ตรงตามความต้องการและเห็นชอบของทั้งสองฝ่ายซึ่งความร่วมมือพัฒนาบุคลากรทางด้านการบินภายใต้บันทึกข้อตกลงฉบับนี้จะประกอบด้วยโครงการพัฒนาบุคลากรทางด้านการบิน3สาขาได้แก่สาขานิรภัยและการรักษาความปลอดภัยด้านการบิน(Aviation Safety and Security),สาขาการบริหารจัดการสนามบิน(Airport Management)และสาขาการจัดการการขนส่งทางอากาศ(Air Transport Management)

ในโอกาสนี้คณะผู้บริหารและทีมงานของทอท.ยังได้เยี่ยมชมอาคารอำนวยความสะดวกและห้องปฏิบัติการการเรียนการสอนต่างๆของสบพ.อาทิห้องConvention Hallห้องสมุดห้องInternationalห้องSmart ClassroomและAirbus A320เป็นต้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานการสนับสนุนการปฏิบัติงานรวมถึงการพัฒนาหลักสูตรร่วมกันเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านการบินให้ตอบสนองนโยบายรัฐบาลอันจะนำพาประเทศไทยไปสู่ศูนย์กลางการบินของภูมิภาคต่อไป.

รู้ยัง กุ้งขาวไทยติดลมบน ส่งออกอันดับ 6 ของโลก

ยอดการส่งออกสินค้าในช่วงที่ผ่านมา สินค้าการเกษตรของไทย มีหลายชนิดที่ได้รับความนิยมออกไปทั่วโลก สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ได้ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) จัดทำแดชบอร์ดสินค้าเกษตรอีกชนิด ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกอีกเช่นกัน นั่นคือ กุ้งขาวแวนนาไม หรือกุ้งขาว ผ่านเว็บไซต์ www.คิดค้า.com โดยรวบรวมข้อมูลตั้งแต่การผลิต ราคา ตลาดส่งออกของไทย และโอกาสขยายการส่งออก คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ทั้งนี้ พบสถิติที่สำคัญ โดยล่าสุดปี 64 ไทยส่งออกกุ้งขาวและผลิตภัณฑ์เป็นอันดับ 6 ของโลก สัดส่วน 5.5% ของมูลค่าส่งออกของโลกที่ 26,429.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  

ส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรกของโลก ได้แก่

  • อินเดีย มูลค่า 5,736.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 21.7 ของมูลค่าการส่งออกของโลก)
  • เอกวาดอร์ มูลค่า 5,150.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 19.5)
  • เวียดนาม มูลค่า 3,912.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 14.8)
  • อินโดนีเซีย 2,218.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 8.4)
  • จีน 1,980.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 7.5)  

ส่วนสถิติส่งออกปี 65 ไทยส่งออกกุ้งขาวได้ปริมาณ 98,800.1 ตัน มูลค่า 1,072.0 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 83.4% จากปี 64 โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ คือ สหรัฐ ญี่ปุ่น และจีน คิดเป็นมูลค่าส่งออกรวมกันกว่า 70% ของมูลค่าการส่งออกกุ้งขาวทั้งหมดของไทย ซึ่งแบ่งสัดส่วนสินค้าเป็น 3 กลุ่ม

  • กุ้งขาวมีชีวิต สด แช่เย็น และแช่แข็ง 576.91 ล้านดอลลาร์ เพิ่ม 784.0%
  • กุ้งขาวปรุงแต่งหรือทำไว้ไม่ให้เสีย ไม่บรรจุในภาชนะที่อากาศผ่านไม่ได้ 174.2 ล้านดอลลาร์ ลด 17.8%
  • กุ้งขาวปรุงแต่งหรือทำไว้ไม่ให้เสีย บรรจุในภาชนะที่อากาศผ่านไม่ได้ 320.88 ล้านดอลลาร์ เพิ่ม 5.3%

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) มองว่า แม้ไทยจะส่งออกกุ้งได้เพิ่มขึ้น แต่หากพิจารณามูลค่าการส่งออกของไทย พบว่า มากกว่า 50% เป็นการส่งออกกุ้งขาวมีชีวิต สด แช่เย็น และแช่แข็ง ซึ่งเป็นเพียงการผลิตขั้นต้น ดังนั้น ไทยยังสามารถพัฒนาไปสู่การผลิตสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูงขึ้น หลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคากับ เอกวาดอร์ อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ที่ส่วนใหญ่ส่งออกแบบกุ้งแช่แข็งเช่นกัน

ขณะที่จีน ส่งออกกุ้งปรุงแต่งในสัดส่วนที่มากกว่า รวมถึงไทยต้องเร่งพัฒนาสู่การเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูงต่อไป เพราะราคาช่วง 3 เดือนแรกปี 66 พบว่า ราคาขายกุ้งขนาด 51-60 ตัวต่อ กกคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง. อยู่ที่ 175.6 บาทต่อ กก. แพงกว่าราคากุ้งของเอกวาดอร์ ที่ 106.5 บาท และอินเดีย 137.5 บาท  

รัฐอลหม่านกู้1.5แสนล้านบาท โปะหนี้น้ำมันคนไทยรับกรรม!!

น่าผิดหวังอย่างแรงทีเดียว!!! สำหรับการผ่าทางตันแก้วิกฤติพลังงานของกระทรวงพลังงาน นำโดย ’สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์“ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน เพราะนับตั้งแต่คนไทยเผชิญวิกฤติน้ำมันแพงตั้งแต่ต้นปี ปรากฏว่าการแก้ปัญหาไม่คืบหน้า ทั้งการขอกู้เงินจากสถาบันการเงิน ที่โปะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ติดลบหนักกว่า 1.17 แสนล้านบาท ที่เคยประกาศเงินก้อนแรก 20,000 ล้านบาท จะไหลเข้ากองทุนฯ ตั้งแต่ เม.. 65 ยังไร้วี่แวว!! หรือแม้กระทั่งมาตรการรีดกำไรจากโรงกลั่น 2.4 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่เดือน มิ.. ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำให้ถูกมองว่า สุดท้ายภาระถูกโยนมาให้ประชาชนรับเคราะห์แทน

เริ่มตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมาน้ำมันโลกเริ่มแพง จากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 น้ำมันเริ่มไต่ระดับขึ้นมา ซ้ำร้ายกลับมาเจอวิกฤติซ้อนวิกฤติอย่างความขัดแย้งรัสเซีย–ยูเครน ยิ่งทำให้ราคาน้ำมันตลาดโลกเลวร้ายร้อนแรงพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก รวมถึงไทย ที่นำเข้าน้ำมันมากที่สุดอันดับต้น ๆ ในภูมิภาค ต้องจ่ายค่าน้ำมันแพงมากขึ้น ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยยิ่งเปราะบางมากขึ้น

หาเงินโปะสภาพคล่องคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ทำให้กระทรวงพลังงานหัวหมุน กับการดูแลราคาน้ำมัน โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลที่กระทบในวงกว้าง จึงต้องใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าอุ้มราคาน้ำมันดีเซล เคยทำสถิติสูงถึงลิตรละ 14 บาท จนส่งผลให้สถานการณ์ล่าสุด กองทุนฯ ประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างหนัก ตัวเลขล่าสุดติดลบสูงถึง 1.17 แสนล้านบาท กระแสเงินสดแทบไม่มี เพราะต้องอุ้มราคาดีเซลอยู่ แม้ลดลงเหลือ 50 สต.ต่อลิตรแล้วก็ตาม เทียบจากเดือน พ.ค. ที่กองทุนฯ ติดลบกว่า 6 หมื่นล้านบาท แต่ยังมีกระแสเงินสดติดบัญชีประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท

ถามว่า ทุกวันนี้กองทุนฯ นำเงินจากที่ใดมาอุดหนุนราคาน้ำมัน และราคาก๊าซแอลพีจี ต้องบอกว่า กองทุนฯ ใช้วิธี “ติดหนี้” กับกลุ่มโรงกลั่น บริษัทน้ำมัน ผู้ค้าก๊าซฯ ไปก่อน โดยปัจจุบันกองทุนฯ ยังใช้เงินอุดหนุนรวมวันละ 68.56 ล้านบาท เป็นการอุดหนุนดีเซลวันละ 37.06 ล้านบาท อุดหนุนแอลพีจีวันละ 31.50 ล้านบาท ภาพรวมเดือนละประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท เรียกได้ว่า เงินยังไหลออกติดลบทุกวัน หากราคาน้ำมันยังผันผวนระดับสูงเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ โอกาสกองทุนฯติดลบ 200,000 ล้านบาทในสิ้นปีนี้ มีโอกาสเป็นไปได้สูง!

แบงก์แหยงไม่ปล่อยกู้

ประเด็นปัญหาใหญ่…เวลานี้ กองทุนฯ ยังไร้ความสามารถ ขอกู้ยืมจากสถาบันการเงินมาใช้ได้ ตั้งแต่เงินกู้ก้อนแรก 20,000 ล้านบาท จากกรอบวงเงินกู้ครั้งแรก 40,000 ล้านบาท จากครั้งแรกที่เคยเปิดให้สถาบันการเงินยื่นความประสงค์ให้กองทุนฯ กู้ตั้งแต่เดือน ม.ค.65 และคาดว่าจะมีเงินลอตแรกไหลเข้ามาภายในเดือน เม.ย. แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่มีสถาบันการเงินใด “กล้าเสี่ยงสูง” ทั้งที่ตอนแรกมีรายชื่อธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน แพลม ๆ ออกมา เพราะยังติดเงื่อนไขหลายเรื่อง โดยเฉพาะปัญหางบดุล และยังดูไร้ทิศทางที่จะมีเงิน “จ่ายคืน” ได้เมื่อไร เพราะเงินกู้เป็นแค่เงินโปะหนี้เดิมเท่านั้น สุดท้ายหนึ่งในแนวทางแก้ปัญหาต้องบีบให้กระทรวงการคลัง ต้องช่วยปรับลดภาษีน้ำมันลิตรละ 3-5 บาทมาถึง 3 รอบ เพื่อช่วยประคับประคองสภาพคล่องกองทุนให้พออยู่ได้ แต่ต้องแลกกับการสูญเสียการจัดเก็บรายได้ไปพัฒนาประเทศ 5-6 หมื่นล้านบาท

สุดท้ายต้องชงวาระลับ

ปัญหาที่เกิดขึ้น หลายภาคส่วน พยายามระดมสมองช่วยหาทางแก้ไข เช่น การรณรงค์ประหยัดพลังงาน รวมถึงขอให้กระทรวงพลังงาน พิจารณาปรับลดค่าการกลั่น ที่วันนี้มีส่วนต่างกำไรจากค่าการกลั่นสูงมาก เพื่อให้นำเงินส่วนนี้ประมาณ 2.4 หมื่นล้านมาช่วยลดราคาน้ำมัน และเงินชดเชยจากกองทุนฯ แต่ดูเหมือนว่ากระทรวงพลังงานกลับไม่มีน้ำยา หรือมีน้ำยาแต่ไม่อยากทำก็ไม่ทราบ เพราะท้ายที่สุดก็ไม่สามารถดึงเงินส่วนต่างค่าการกลั่นมาได้เลยสักบาทเดียว มีเพียง บมจ.ปตท. สนับสนุนเงินช่วยกองทุนฯ แก้เก้อให้รัฐบาล 3,000 ล้านบาทเท่านั้น นอกนั้นยังเงียบกริบ!!!

แทบจะเรียกได้ว่ามืดแปดด้าน …สุดท้ายจึงต้องผ่าทางตัน “ชงวาระลับ” เข้า ครม. ออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังค้ำประกันการชำระหนี้ของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้กองทุนน้ำมันมีความสามารถในการกู้เงินจากสถาบันการเงิน วงเงิน 1.5 แสนล้าน เข้ามาช่วยเสริมสภาพคล่อง ต่อลมหายใจการอุดหนุนราคาพลังงานได้ต่อไป ถือเป็นสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ถนัดมากเป็นพิเศษกับการกู้เงิน

เรื่องนี้สร้างความกระอักกระอ่วนใจแก่กระทรวงการคลังไม่น้อย เพราะเหมือนว่า กระทรวงพลังงาน กำลังโยนปัญหามาให้คลังแก้ไขอีกครั้ง และที่น่าห่วงกว่านั้นก็คือการเข้าไปค้ำประกันพร้อมการขยายกรอบวงเงินการกู้เป็น 1.5 แสนล้าน อาจส่งผลต่อวินัยการคลัง ทำให้หนี้สาธารณะพุ่งขึ้นได้อีก

กระเทือนวินัยการคลัง

มีการประเมินกันว่า หากกองทุนน้ำมันฯ กู้มาใช้เสริมสภาพคล่องเต็มกรอบ 1.5 แสนล้านบาท จะทำให้กรอบหนี้สาธารณะมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก 1.2 แสนล้านบาท เนื่องจากก่อนหน้านี้ ครม. เคยอนุมัติวงเงินกู้กองทุนไปแล้ว 3 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 1.5 แสนล้านบาท โดยยอดเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น 1.2 แสนล้านบาทนี้ จะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มได้อีกเกือบ 1% เหมือนเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะปัจจุบันหนี้สาธารณะก็อยู่ระดับเกิน 10 ล้านล้านบาท ทะลุเกิน 61% ของจีดีพี สูงเกินพื้นฐานวินัยการเงินการคลังที่ควรเป็น

ยิ่งกว่านั้นการกู้ยังมีผลเสียร้ายแรง คือ จะทำให้กองทุนฯ มีภาระดอกเบี้ยด้วย ยกตัวอย่างสมมุติ หากกองทุนน้ำมันฯ กู้เงินมาใช้จริง 1.5 แสนล้านบาทตั้งแต่วันแรก ตามกรอบระยะเวลา 7 ปี เสียดอกเบี้ย 2% ต่อปี อาจทำให้กองทุนพลังงานฯ มีภาระดอกเบี้ยมากถึงปีละ 3 พันล้านบาท หรือคิด 7 ปี อาจมากถึง 2 หมื่นล้านบาท แต่ในความเป็นจริง ดอกเบี้ยคงไม่ถึง เพราะสามารถทยอยกู้ ทยอยผ่อนได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่า กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายดอกเบี้ยอย่างที่ไม่ควรเป็น ทั้งที่จริงหากกระทรวงพลังงานเลือกแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่น เช่น บีบลดค่าการกลั่นลง หรือเลิกแค่รณรงค์ประหยัดพลังงาน หันมาใช้มาตรการเข้มข้นให้ประหยัดพลังงาน น่าจะช่วยลดภาระเงินกู้ส่วนนี้ไปได้ระดับหนึ่งทีเดียว

ผู้ใช้น้ำมันรับกรรม

ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เงินกู้ และดอกเบี้ยที่ต้องเสียนี้ คนที่รับผิดชอบท้ายที่สุดคือ “ผู้ใช้น้ำมัน” นั่นเอง เพราะสุดท้ายแล้วกองทุนน้ำมันฯ จะต้องนำรายได้จากกองทุนฯ มาทยอยผ่อนใช้หนี้ ซึ่งรายได้ที่ได้มานี้ ก็เก็บมาจากเงินอุดหนุนค่าน้ำมันในอนาคต ยกตัวอย่างหากปีหน้าราคาน้ำมันทั่วโลกถูกลงครึ่งหนึ่ง แต่คนไทยจะยังต้องทนใช้น้ำมันแพงต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อเก็บเงินส่วนต่างเหล่านี้มาใช้หนี้ให้แก่กองทุนฯ เป็นต้น

ปัญหาเหล่านี้ เกิดขึ้นจากการขาดการบริหารที่อ่อนซ้อมของกระทรวงพลังงาน ซึ่ง “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รมว.คลัง ก็ได้ฝากเตือนด้วยน้ำเสียงสุภาพว่าขอให้กองทุนฯ เลือกวิธีการกู้เงิน เป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะห่วงต้นทุนเงินกู้และดอกเบี้ย แต่การกู้ครั้งนี้ จะไม่เป็นภาระของงบประมาณรัฐบาล เพราะกองทุนจะเป็นผู้บริหาร และจัดหาเงินมาชำระหนี้คืนด้วยตัวเอง

ถกเครียดกู้ก้อนแรก

สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) กระทรวงพลังงาน ยอมรับว่า ตอนนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด อยู่ระหว่างถกเครียดหารือรายละเอียดร่าง พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลัง ค้ำประกันการชำระหนี้ของ สกนช. พ.ศ…. และการกู้ยืมเงินของ สกนช. 150,000 ล้านบาท ให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนก่อน สามารถปฏิบัติแต่ละขั้นตอนได้ถูกต้องตามที่มติ ครม. มีมติเห็นชอบ หลังจากนั้นจะชี้แจงรายละเอียดให้สาธารณชนทราบเร็ว ๆ นี้ โดยวงเงินกู้ 150,000 ล้านบาท เป็นเพียงกรอบวงเงินกู้ที่ขอเผื่อไว้ เพราะการออกเป็น พ.ร.ก. ต้องขอความเห็นชอบจากที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ตามขั้นตอนปกติ แต่ความจำเป็นกู้เงินเวลานี้ยังคงยืนยันพิจารณาตามความจำเป็นและความเหมาะสมที่ประเมินจากความสามารถในการชำระหนี้เป็นหลัก ไม่กู้เงินเกินตัว และคงไม่กู้เต็มกรอบวงเงิน 150,000 ล้านบาท กำลังดูว่า ก้อนแรกจะกู้เท่าไร หรือสุดท้ายจะกู้ทั้งหมดเท่าไร ยังไม่สามารถระบุได้ กำลังหารือกันอย่างเข้มข้น

อย่าหวังตรึงดีเซล 35 บ.

ที่สำคัญต้องติดตามสถานการณ์สู้รบระหว่างรัสเซียยูเครนต่อเนื่อง ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้ในระยะสั้น ภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงค่าเงินบาทและปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามาส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันตลาดโลกให้มีความผันผวนสูงมาก และมีโอกาสที่จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศขึ้นลงได้เช่นกันเป็นตัวกำหนดว่าจะกู้เท่าไร หากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมากกว่านี้ มีความเป็นไปได้ที่ราคาขายปลีกดีเซลในประเทศอาจปรับขึ้นได้อีก ดังนั้นแม้กระทรวงการคลังจะค้ำประกันเงินกู้ให้กองทุนฯสามารถหาเงินกู้มาเสริมสภาพคล่องเพื่อนำมาตรึงราคาขายปลีกดีเซลในประเทศได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาดีเซลจะไม่ขึ้น

กู้มาอาจใช้ไม่ถึง 2 เดือน

เนื่องจากกองทุนฯ ยังมีหนี้ 117,394 ล้านบาท จากการอุดหนุนดีเซล 76,518 ล้านบาท และอุดหนุนก๊าซหุงต้ม หรือแอลพีจี 40,876 ล้านบาท หากใช้กรอบวงเงินกู้เต็มจำนวน 150,000 ล้านบาท มาโปะหนี้กองทุนฯ ที่ติดลบเกือบ 120,000 ล้านบาท จะเหลือส่วนต่างจากกรอบวงเงินกู้ประมาณ 3,000 กว่าล้านบาทเท่านั้น ภายใต้แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ผันผวนต่อเนื่อง และกองทุนฯ ยังต้องอุดหนุนต่อไป เท่ากับจะมีเงินเหลือจาก พ.ร.ก. ใช้ได้เพียง 1-2 เดือนเท่านั้น

“สกนช.” ยอมรับว่า ความจริงการขอกู้กรอบวงเงิน 150,000 ล้านบาท แต่กองทุนฯเป็นหนี้ติดลบเกือบ 120,000 ล้านบาท คงไม่พอ ซึ่งสถานการณ์ราคาน้ำมันยังมีขึ้นมีลงแบบผันผวนตามปัจจัยต่าง ๆ จึงการันตีไม่ได้ว่า ราคาขายปลีกดีเซลในประเทศ จะตรึงไว้ที่ลิตรละ 35 บาทตลอดไป เพราะหากราคาน้ำมันตลาดโลกผันผวน อยู่ในระดับสูงกว่านี้ อาจต้องขยับตามความเหมาะสม ไม่กระชากขึ้นทีเดียว

ดูจากสภาพแล้ว ทั้งปัญหาวิกฤติซ้อนวิกฤติของโลก ที่ความขัดแย้งรัสเซีย–ยูเครนยังยืดเยื้อไร้ข้อยุติ ประกอบกับแนวทางแก้ปัญหาพลังงานของรัฐบาลนี้แล้ว ได้แต่ถอนใจ…คงได้แต่ใช้ธรรมะอริยสัจ 4 “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หรือใช้คาถา “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” แบบที่ “สุพัฒนพงษ์” รองนายกรัฐมนตรีแนะนำ.คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

“สุพัฒนพงษ์” แจงวาระลับ ครม.

“สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงานระบุว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน และกำลังเข้าสู่ฤดูหนาวในต่างประเทศแล้ว ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ราคาจะเป็นอย่างไรต่อ ดังนั้นเพื่อให้กองทุนน้ำมันได้ดำเนินการตามบทบาทหน้าที่ของตัวเองในการช่วยเหลือดูแลประชาชนได้ต่อไป ต้องเร่งทำเรื่องนี้โดยเร็ว ซึ่งที่ผ่านมาพยายามทุกวิถีทางแล้วในการสร้างสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมัน จนมาเป็น พ.ร.ก.ฉบับนี้ ยอมรับว่า กรณีการกู้เงินของกองทุนน้ำมัน จะกู้เต็มกรอบวงเงินที่ผ่าน ครม. วงเงิน 1.5 แสนล้านหรือไม่นั้น เรื่องนี้เป็นรายละเอียด เป็นวาระลับที่คุยใน ครม. คงบอกทั้งหมดไม่ได้ แต่เชื่อว่าการกู้เงินคงไม่ได้กู้เงินทันทีเลยในครั้งเดียว เพราะต้องทยอยกู้ตามความเหมาะสม เพื่อใช้ทั้งหนี้เดิม และสำรองเอาไว้ใช้ในช่วงต่อไป

สำหรับวงเงินกู้ 1.5 แสนล้านบาท จะเพียงพอต่อการกู้วิกฤติกองทุนน้ำมันได้จนสุดทางหรือไม่นั้น จะเพียงพอหรือไม่ ต้องดูกรอบวินัยทางการเงินการคลัง ไม่ให้เกินกรอบ 70% ต่อจีดีพีด้วย ซึ่งตัวเลขนี้นั้น เป็นตัวเลขที่กระทรวงการคลังประเมินออกมาแล้วว่า สามารถดำเนินการได้โดยที่ไม่กระทบกับวินัยการเงินการคลัง

แม้ในกรณีกองทุนฯ มีความสามารถกู้เงินได้เอง โดยไม่มีใครมาช่วยสนับสนุนต้องมาค้ำประกัน หรือเข้ามาช่วยเหลืออะไร การกู้เงินของกองทุนฯ ทั้งหมด ถือเป็นหนี้สาธารณะ จะไปซ่อนไปหลบไม่ได้ ดังนั้นจึงอยากให้สบายใจได้ว่า กระทรวงการคลังได้ดูแลเรื่องนี้อย่างดี และคำนวณตัวเลขออกมาเหมาะสมแล้ว โดยในรายละเอียดเบื้องต้นของการกู้เงิน ล่าสุดกระทรวงการคลัง ได้สรุปออกมาแล้วแต่ยังไม่สามารถบอกได้ ส่วนจะเป็นการกู้สถาบันการเงินในประเทศหรือต่างประเทศนั้น รองนายกฯ ระบุว่า เป็นไปได้หมด แต่หลักการตอนนี้ขอให้เร็วและเกิดความคล่องตัวมากที่สุด”

ส่วนแนวทางการแก้ปัญหาอื่น เช่น มีการเสนอว่าให้เก็บภาษีลาภลอยจากโรงกลั่นน้ำมันนั้น อธิบายว่า ถ้าย้อนไปดูข้อมูลในอดีตก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องใช้เวลา อีกทั้งยังมีเกณฑ์ต่าง ๆ ค่อนข้างมาก ส่วนการเจรจากับผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมัน ก็มีการหารืออยู่ แต่ปัจจุบันค่าการกลั่นก็ลดลงมามากแล้ว เหลืออยู่แค่ประมาณลิตรละ 2 บาทกว่า ๆ เท่านั้น สิ่งสำคัญในยามวิกฤติครั้งนี้ รัฐบาลต้องประคับประคองให้ผ่านพ้นไปให้ได้ และรักษาวินัยทางการเงินการคลังให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งวิกฤตินี้ถือว่าท้าทายการทำงานของรัฐบาล เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอน อะไรจะเกิดเมื่อไรก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องของราคาพลังงานที่ผันผวน.

…ทีมเศรษฐกิจ…

ยิ้มรับเศรษฐกิจขาขึ้น กิจการมูฟออนได้ด้วย “สินเชื่อธุรกิจรายย่อย” จากธนาคารออมสิน

การได้เป็นเจ้าของกิจการ หรือการมีธุรกิจเป็นของตัวเองเป็นความใฝ่ฝันของหลายๆ คน และปัจจัยหลักที่จะนำมาใช้ขับเคลื่อนให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ ก็คือ “เงินทุน” แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวอย่างไม่เต็มที่ เช่นนี้ ธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐบาลจึงได้ออกโปรโมชัน “สินเชื่อธุรกิจรายย่อย” โดยมีจุดเด่นเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่พิเศษและการปลอดชำระเงินต้น 6 เดือนแรก และให้วงเงินกู้สูงสุด 1,000,000 บาท เพื่อนำไปใช้ในการประกอบธุรกิจ เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ/ลงทุนในสินทรัพย์ถาวร หรือ ไถ่ถอนจำนองสินเชื่อจากสถาบันการเงินอื่น

โดยมีรายละเอียดดังนี้

คุณสมบัติผู้กู้

1. เป็นบุคคลธรรมดา อายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์

2. สัญชาติไทย

3. ประกอบธุรกิจที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจพาณิชยกรรม ธุรกิจบริการ

จำนวนเงินให้กู้

สูงสุดไม่เกิน 1,000,000 บาทต่อราย

อัตราดอกเบี้ยคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ MRR – 2.255 ต่อปี

เดือนที่ 7 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ยร้อยละ MRR ต่อปี

(ปัจจุบัน MRR = 6.245%)

ระยะเวลาชำระเงินกู้

ระยะเวลาชำระเงินกู้ไม่เกิน 10 ปี (120 งวด) ปลอดชำระเงินต้น 6 เดือน ชำระดอกเบี้ยทุกเดือน

โดยสามารถยื่นขอสินเชื่อได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 30 ธันวาคม 2565

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

อ่านรายละเอียดสินเชื่อเพิ่มเติม หรือต้องการลงทะเบียนคลิก https://bit.ly/3sd6Zcx

หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือ GSB Contact Center 1115

และติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.gsb.or.th หรือ Facebook: GSB Societyคำพูดจาก เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์

เช็กด่วน! ธนาคารใหญ่ 4 แห่ง แจ้งลูกค้าอัปเดตระบบล่าสุด ก่อนใช้งานไม่ได้

ธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ประกาศแจ้งเตือนลูกค้าผู้ใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง แอปพลิเคชัน ให้รีบอัปเดตสมาร์ตโฟนเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดไม่ว่าจะ iOS หรือ Android ก่อนจะมีผลกระทบไม่สามารถเข้าใช้งานโมบายแบงก์กิ้งได้ รวมถึงให้อัปเดตแอปธนาคารให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดอยู่เสมอ

ธนาคารกรุงเทพ แจ้งลูกค้า อย่าลืม! อัปเดตระบบปฏิบัติการโทรศัพท์ เพื่อยกระดับความปลอดภัยในการทำธุรกรรม และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานอย่างต่อเนื่อง พร้อมรองรับการใช้งานฟีเจอร์ใหม่ๆ ในอนาคต

โมบายแบงก์กิ้ง จากธนาคารกรุงเทพ เวอร์ชั่นใหม่ จะรองรับการใช้งานบนระบบปฏิบัติการ iOS เวอร์ชั่น 13.0 ขึ้นไป และ Android เวอร์ชั่น 8.0 ขึ้นไปเท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป

ธนาคารกรุงไทย แจ้งลูกค้า เพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ กรุณาอัปเดตแอป Krungthai NEXT ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดเสมอ ผ่าน Google Play หรือ App Store เท่านั้นคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ลูกค้าที่ใช้ แอป Krungthai NEXT เวอร์ชั่นต่อไปนี้ จะได้รับการแจ้งเตือนผ่านแอป สามารถกดอัปเดต ได้ทันที

  • แอป เวอร์ชั่นต่ำกว่า 14.2.17 สำหรับมือถือระบบปฏิบัติการ Android
  • แอป เวอร์ชั่นต่ำกว่า 14.2.15 สำหรับมือถือระบบปฏิบัติการ iOS

นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป แอป​ Krungthai NEXT เป๋าตัง และถุงเงิน จะไม่รองรับระบบปฏิบัติการ iOS ต่ำกว่า 12 โปรดตรวจสอบและอัปเดตระบบปฏิบัติการให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด (iOS 12 ขึ้นไป) ก่อนแอปจะเข้าใช้งานไม่ได้

โดยสามารถทำตามขั้นตอนง่ายๆ บนแอป Krungthai NEXT ดังนี้ :คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
1.เข้าไปที่ Settings (การตั้งค่า)
2.เลือก General (ทั่วไป)
3.เลือก Software Update (รายการอัปเดตซอฟต์แวร์)
4.เลือก Download and Install (ดาวน์โหลดและติดตั้ง)

ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2567 โปรดอัปเดต iOS เป็นเวอร์ชั่น 14 ขึ้นไป เพื่อรองรับแอป SCB EASY เวอร์ชั่นใหม่

ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb) ปิดปรับปรุง ttb touch และ พร้อมเพย์ ในวันที่ 23 มีนาคม 2567 ไม่สามารถใช้ ทีทีบี ทัช เวลา 00.01-08.00 น. และไม่สามารถรับหรือโอนเงินต่างธนาคาร เวลา 01.00-02.00 น.

สรรพากร เชื่อมระบบ ยืนยันตัวตน 11 ธนาคาร ใช้ให้บริการยื่นภาษี

วันที่ 23 พฤษภาคม 2565 กรมสรรพากร และ บริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัด (NDID) ร่วมด้วยธนาคารอีก 11 ธนาคาร ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ เรื่อง การเข้าถึงระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เพื่อสนับสนุนข้อมูลสำหรับการให้บริการธุรกรรมภาษี

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “ความร่วมมือกับ NDID ร่วมด้วยธนาคารอีก 11 ธนาคาร ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์สำคัญ เพื่อการยกระดับการให้บริการธุรกรรมภาษี 2 เรื่อง คือ 1.การพิสูจน์ตัวตน 2.การเชื่อมโยงข้อมูลการให้บริการภาษี ซึ่งกรมสรรพากรคำนึงถึงความสะดวกของผู้เสียภาษีเป็นหลัก จึงร่วมมือกับหน่วยงานที่เป็น ID Platform เช่น NDID เพื่อให้ผู้เสียภาษีมีทางเลือกให้การยืนยันตัวตนของตนเอง นอกจากนี้กรมสรรพากรให้ความสำคัญในเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างปลอดภัยและการให้สิทธิผู้เสียภาษีในการควบคุมข้อมูลของตนเอง ด้วยเทคโนโลยีของ NDID ซึ่งเบื้องหลังเป็น Blockchain จะทำให้ผู้เสียภาษีหรือลูกค้าของธนาคารเชื่อถือได้ว่าตัวเองมีสิทธิขาดในการร้องขอให้รับ/ส่งข้อมูลของตนเองที่เก็บไว้ในหน่วยงานในกลุ่ม และหน่วยงานในกลุ่มจะเชื่อถือได้ว่าไม่ได้ปลอมแปลงเอกสารและมีการร้องขอให้รับ/ส่งข้อมูลที่ได้รับการยินยอมแล้วจริง สร้างความสะดวก ความรวดเร็ว โปร่งใส และต้นทุนต่ำให้กับประเทศ ตามเป้าประสงค์ที่กำหนดในยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ และแผนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน

ทั้งนี้ กรมสรรพากรขอขอบคุณ บริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัด (NDID) สมาคมธนาคารไทย สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และธนาคารอีก 11 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่เห็นถึงความสำคัญและให้ความร่วมมือกับกรมสรรพากรในการดำเนินงานในครั้งนี้”

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า “สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก มุ่งส่งเสริมแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพ​ และความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงิน พร้อมให้ความร่วมมือตอบสนองนโยบายของภาครัฐ โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้บริการประชาชน ล่าสุด สถาบันการเงินของภาครัฐและเอกชนรวม 11 แห่ง และ บริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัด หรือ NDID ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจกับกรมสรรพากร เรื่อง “การเข้าถึงระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลเพื่อสนับสนุนข้อมูลสำหรับการให้บริการธุรกรรมภาษี”

ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของกรมสรรพากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการร่วมมือกัน เพื่อยกระดับบริการธุรกรรมภาษีให้รวดเร็ว โปร่งใสและมีต้นทุนต่ำ โดยเชื่อมต่อกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลของ NDID เพื่อให้การพิสูจน์และยืนยันตัวตนผ่านระบบดิจิทัล สามารถนำมาใช้ในการสนับสนุนข้อมูลการให้บริการธุรกรรมภาษีของกรมสรรพากร ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดบนเทคโนโลยีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากลคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

นอกจากนี้ กรมสรรพากร สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ และ NDID จะนำโครงการนี้ เข้าสู่การทดสอบ Digital Service Sandbox ของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับธนาคาร แห่งประเทศไทย เพื่อให้ระบบอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานกำกับดูแลทั้งสองแห่ง และเพิ่มความมั่นใจให้แก่ทุกภาคส่วน ก่อนจะเปิดให้บริการแก่ประชาชนในวงกว้างต่อไป โดยเชื่อมั่นว่า ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จะร่วมกันส่งมอบบริการที่ดีให้กับภาคประชาชนและภาคธุรกิจได้อย่างไร้รอยต่อ มีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ที่ผ่านมา ภาคธนาคารได้ให้ความร่วมมือในการตอบสนองนโยบายด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากรหลายด้าน อาทิ การคืนภาษีผ่านพร้อมเพย์  การจ่ายชำระภาษีต่างๆ ผ่าน Bill Payment การให้บริการ  e-Withholding Tax และในปี 2564 ได้ร่วมมือกับกรมสรรพากรผ่านการให้บริการของ NDID ที่มีภาคธนาคารเป็นผู้ถือหุ้นหลักในการให้บริการพิสูจน์ตัวตนเพื่อประกอบการยื่นเสียภาษีผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ และการตรวจสอบข้อมูลลดหย่อนผ่านแพลตฟอร์ม NDID ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์มแรก และแพลตฟอร์มเดียวที่ผ่านการทดสอบนวัตกรรมหรือบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Service Sandbox) ของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์”คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ เผยว่า “สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ พร้อมให้ความร่วมมือกับกรมสรรพากร ในการสนับสนุนให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เข้ามามีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการใช้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น โดยพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ เรื่อง “การเข้าถึงระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลเพื่อสนับสนุนข้อมูลสำหรับการให้บริการธุรกรรมภาษี” ในครั้งนี้ นับเป็นการพัฒนาการเข้าถึงระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลผ่าน NDID Platform โดยเฉพาะการขอรับบริการธุรกรรมภาษี ตามแผนของกรมสรรพากรของประชาชนได้เป็นอย่างดี เพราะระบบดังกล่าว เป็นการยกระดับการให้บริการด้านดิจิทัลที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลธุรกรรมทางภาษีของตนเองได้อย่างสะดวก รวดเร็ว โปร่งใส และมีต้นทุนต่ำลง ขณะเดียวกันยังช่วยยกระดับการทำธุรกรรมออนไลน์ของคนไทยให้มีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล เนื่องจากระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลผ่าน NDID Platform นั้น เป็นระบบที่มีมาตรฐานความปลอดภัยและยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Data Privacy and Security by design) ด้วย

อย่าตกใจ! ถ้าแบงก์เล็กในสหรัฐล้มอีก ยันไม่เกิดวิกฤติการเงิน

นายนริศ สถาผลเดชา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี ธนาคารทหารไทยธนชาต เปิดเผยว่า ปัญหาธนาคารของสหรัฐที่ถูกปิดกิจการและปัญหาธนาคารในยุโรป เป็นแค่ระดับธนาคารไม่ใช่ภาพรวมทั่วโลก โดยยืนยันความสามารถและเสถียรภาพระบบการเงินโลกยังดีอยู่ แม้จะมีความตึงตัวมีมากขึ้นจากดอกเบี้ยที่สูง แต่ยังไม่ใช่วิกฤติเศรษฐกิจ หรือไม่ใช่วิกฤติการเงิน เหมือนกับวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งหลังจากนี้อาจเห็นธนาคารรายเล็กๆในสหรัฐอาจเกิดปัญหามากขึ้น แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะไม่ใช่ปัญหาเชิงระบบ และไม่ต้องกังวลความเชื่อมโยงระบบการเงินไทยมีระดับต่ำ

ทั้งนี้ ยอดเงินฝากในไทยที่เป็นรายย่อยมีมากถึง 9 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 65% แต่ถ้าเป็นภาคธุรกิจมี 35% ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ เงินฝากที่เป็นครัวเรือน อยู่ในประเภทออมทรัพย์ และกระแสรายวัน ซึ่งกระจายตัวดี เป็นการใช้จ่ายเยอะ มั่นใจไม่เจอแบบซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ที่มีลูกค้าเงินฝากเป็นภาคธุรกิจสูงถึง 65% ทำให้เมื่อถอนเงินจะเป็นก้อนใหญ่จึงเกิดปัญหา

นายนริศ กล่าวว่า ทีทีบี ได้ปรับเพิ่มประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 66 ขึ้นมาที่ 29.5 ล้านคนจาก 22.5 ล้านคน โดยมาจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจีนและเอเชีย ส่วนตัวเลขการส่งออกสินค้าในปี 66 จะติดลบ 0.5% เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัวและความผันผวนในภาคการเงินต่างประเทศ จึงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 66 จะขยายตัวที่ 3.4%

สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหนี้สาธารณะยังอยู่ในระดับไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ อีกทั้งไทยมีทุนสำรองที่อยู่ในระดับสูง สำหรับระบบธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันยังมีความแข็งแกร่งทั้งในด้านฐานเงินฝากที่มีคุณภาพและสินทรัพย์สภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูง ด้านเงินกองทุนและเงินสำรองอยู่ในระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง, อัตราส่วนเงินสำรองที่มีอยู่ต่อเอ็นพีแอลอยู่ในระดับที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค  ในขณะที่สัดส่วนเอ็นพีแอลของไทยมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 65

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ หนี้ครัวเรือนของไทยที่อยู่ในระดับสูง และสินเชื่อที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเติบโตค่อนข้างเร็ว เมื่อทิศทางดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ภาระหนี้ของกลุ่มเปราะบาง เช่น กลุ่มรายได้น้อย กลุ่มเกษตรกร และภาคธุรกิจขนาดเล็ก ที่ยังจำเป็นต้องก่อหนี้เพิ่มเพื่อพยุงระดับการบริโภคและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับประกอบธุรกิจครัวเรือน อีกทั้ง มาตรการดูแลลูกหนี้ทั้งในส่วนของประชาชนและภาคธุรกิจที่กำลังทยอยหมดลงนับแต่เดือน เม.ย.จนถึงสิ้นปี 66 นี้ อาจเป็นปัจจัยกดดันให้ลูกหนี้ที่เปราะบางจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือต่อไป

“หนี้ครัวเรือนต้องระวัง ตอนนี้ดูสินเชื่อบ้าน และรถไม่ได้โตแรง และชะลอลงด้วยซ้ำ แต่โตแรงคือสินเชื่อบุคคล แบงก์ชาติเรียกว่าสินเชื่อไม่มีหลักประกัน เป็นเรื่องจับตาดูต้องกังวล ขณะที่การปล่อยสินเชื่อที่ไม่มีเอ็นพีแอลเลยก็ไม่ดี เพราะธนาคารไม่รับความเสี่ยงเลย คนเข้าถึงยาก ปล่อยสินเชื่อแต่คนที่มีเงินไม่มีความเสี่ยง ซึ่งระดับเอ็นพีแอล 2.7% ต่ำขนาดนี้พอใช้ได้”คำพูดจาก เว็บสล็อต

นายนริศ กล่าวว่า ไทยควรมองหาตลาดส่งออกสินค้าที่ยังมีศักยภาพเติบโต เช่น กลุ่มตะวันออกกลาง อินเดีย และกลุ่มอาเซียน และมาตรการบรรเทาค่าครองชีพแก่กลุ่มครัวเรือนและดูแลกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กที่เปราะบาง เช่น มาตรการลดค่าครองชีพในหมวดสินค้าจำเป็น มาตรการช่วยเหลือค่าน้ำค่าไฟฟ้า มาตรการช่วยผ่อนคลายต้นทุนของธุรกิจเอสเอ็มอี และมาตรการทางการเงินและสินเชื่อจากภาคสถาบันการเงินเพื่อดูแลลูกหนี้กลุ่มเปราะบางเป็นรายกรณี เป็นต้นคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง